วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ไก่เเจ้ อัญมณีมีชีวิต


           มนุษย์ได้รู้จักนำสัตว์มาเลี้ยงนานแสนนาน  ตั้งแต่สมัยยุคหินที่สัตว์เลี้ยงถูกนำมาใช้งานหรือนำมาเป็นอาหาร  ต่อมามนุษย์ก็รู้จักสัตว์เลี้ยงประเภทอื่นมากขึ้น ด้วยวัตถุประสงค์หลากหลายออกไปตามการเปลี่ยนแปลง  สัตว์หลายประเภทจึงถูกนำมาเลี้ยง  หนึ่งในหลายประเภทคือไก่แจ้   ไก่แจ้ถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเสน่ห์ความงาม  อย่างที่กล่าวว่า  ไก่งามเพราะขน  ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีจิตใจที่รักสัตว์มากขึ้น  จึงมีการพัฒนาหลายสายพันธ์และมีการเลี้ยงไก่แจ้ เพื่อดูความงามมาถึงปัจจุบันนี้


1.  ประวัติความเป็นมาของไก่แจ้
           ไก่แจ้เป็นสัตว์ปีกประเภทหนึ่ง  ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าภาคพื้นเอเชีย  ซึ่งจะเห็นได้ว่าในเมืองไทย ก็พบไก่แจ้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว  ถือว่าเป็นไก่พื้นเมืองสายพันธุ์หนึ่ง แต่เรื่องราวที่กล่าวถึงไก่แจ้ก็เป็นไปตามแบบสากลที่นิยมเลี้ยงกันทั่วไป
    ไก่แจ้แบบสากลเรียกว่า..เจแปนนีสแบนตั้ม.(Japanese...Bantam) เพื่อเป็นการให้เกียติชาวญี่ปุ่น ซึ่งได้เป็นผู้สร้างสรรค์..และพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมา..ทั้งๆที่ไก่แจ้ไม่ใช่ไก่พื้นเมืองของญี่ปุ่น...มีหลักฐานกล่าวว่า เริ่มแรกชาวญี่ปุ่นได้นำไก่แจ้มาจากประเทศจีนตอนใต้  เมื่อประมาณ พ.ศ.2149 - 2179  จากนั้นได้มีการพัฒนาสายพันธุ์...จนได้รูปทรงและสีสันที่เป็นไปตามความคิดฝัน..และอุดมทัศนะ..ไก่แจ้เป็นสัตว์ปีกจำพวกเดียวกันกับนก แต่เดิมเป็นไก่ป่า ตรงตามภาษาอังกฤษว่า Jungle fowls  มีสำคัญที่ผิดกับนกคือ บนหัวมีหงอนเป็นเนื้อไม่ใช่หงอนมีขน มีเหนียงสองข้างห้อยลงมาที่ปากและคาง ที่หน้าและคอเป็นหนังเกลี้ยงไม่มีขน  ขนตามตัวทั่วไปมีสีงดงาม ขนหางตั้งเรียงกันและสันสูงตรงกลาง มีขนหาง 14-16 เส้น เส้นกลางยาวประมาณ 30 เซนติเมตร  แข้งมีเดือยข้างละอันเป็นอาวุธ ไก่แจ้ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า สีขนไม่ฉูดฉาดสวยงามเท่ากับตัวผู้ แข้งมีเดือย หงอนและเหนียงขนาดเล็ก จนตัวเกือบไม่มีเลย ไก่แจ้ดั้งเดิมมีอยู่เฉพาะประเทศเขตร้อนแถบเอเชีย  บริเวณอินเดีย  พม่า  ไทย  มาเลเซีย  อินโดนีเซีย  ลาว  เขมร  และเวียดนาม





2.ลักษณะมาตรฐานและสีไก่แจ้
 2.1ลักษณะมาตรฐานของไก่แจ้
หัว          มีขนาดใหญ่และกว้าง กลมสมส่วนกับใบหน้า
หงอน    ใหญ่ หนา มีสีแดง ตั้งตรง เหมาะสมกับลำตัว ผิวหงอนหยาบเป็นเม็ดเล็กๆ
              คล้ายทรายหยาบ หน้าหงอนยื่นจรดจงอยปาก ท้ายหงอนกดตามรูปหัว จัดหงอนมี 4-5
              จัด มีลักษณะใหญ่และลึกพอสมควร สวยงามเรียงกันเป็นระเบียบ หงอนเป็นเนื้อ
เหนียง   ใหญ่สมดุลกับหงอน ปลายกลม ผิวเหนียงหยาบ
ปาก       สั้น และโค้งเล็กน้อย มั่นคงแข็งแรง
ตา          กลมโต มีประกายสดใส
ติ่งหู       ขนาดปานกลาง กลมรีเป็นรูปไข่ มีสีแดงยกเว้นบางตัวมีสีขาว
คอ          คอสั้น โค้งเล็กน้อย มีขนร้อยคอหนาแน่นสวยงาม
ลำตัว      เล็ก กลม สั้น กว้างและลึก
อก         .ใหญ่กลมยื่นไปข้างหน้า
ท้อง        ช่วงท้องสั้น กลม เต็ม มีขนดก หนานุ่ม
ปีก          หนาและยาว ทอดขนานกับลำตัว ปลายปีกสัมผัสฟื้นตรงส่วนปลายของลำตัว
หลัง        กว้างและสั้นมาก จนแทบไม่มีช่องว่างระหว่างพุ่มสร้อยคอ และโคนหางมีระย้า
หาง        หางชัยสองเส้น ยาวคล้ายดาบ ชี้ขึ้นสูงกว่าหัวประมาณ 1ใน 3 ของความยาวทั้งหมด
               ขณะยืนหางจะสัมผัสกับท้ายหงอน หางพัดลักษณะปลายมน เรียงเป็นระเบียบ ไม่ต่ำ
             . กว่าข้างละ6 เส้น แผ่หรือบานประมาณ 90 -150 องศา ระย้าแซม หางพัด ปลายขนแหลม
               คล้ายใบข้าวมี 2 - 3 ชั้น ระหว่างหางพัดทั้ง2 ข้าง มีขนอุยปิดกั้นคลุมกันเป็นระเบียบ
แข้ง        มีขนาดใหญ่ กลม สั้น แข็งแรง หน้าแข้งสั้นประมาณ 1 องศุลี (3-4นิ้ว) นับจากสุดปลาย
               ขน ด้านหน้าถึงข้อนิ้วแรก เกล็ดแข็งเรียบ เรียงเป็นระเบียบ ไม่มีขนนิ้วเท้า นาแต่ละข้างมี
               นิ้ว 4 นิ้ว นิ้วตรงสั้น กางเป็นรูป ข้อนิ้วเรียงดันเป็นระเบียบ มีเล็บ
ขน          สะอาด นุ่ม หนาแน่น เป็นมันเงาสดใส
น้ำหนักตัว    น้ำหนักประมาณ 730 กรัม ตัวเมียประมาณ 500 กรัม


2.2 สีไก่แจ้โดยทั่วไป
        สีขาว หน้า หงอน เหนียง ติ่งหูมีสีแดงสด  หงอนมีเม็ดทราย ตาสีแดง จงอยปากสีเหลือง ขนและโคนทั้งตัวมีสีขาวบริสุทธิ์เหมือนปุยหิมะ  ไม่มีสีอื่นปน น้ำขนแวววาว  นิ้วสีเหลือง


               สีดำ หน้า หงอน เหนียง ติ่งหู สีแดงจัดหรือเป็นปานดำ ใบหงอนมีเม็ดทราย ตาสีดำ หรือมีสนิมเหล็ก มีขอบตา จงอยปากสีดำ ขนทั้งตัวสีดำสนิท ต้องไม่มีสีอื่นแซม ขนเป็นมันเหลือบเขียวคล้ายแมลงทับ แข้ง นิ้ว เล็บเป็นสีดำ
               สีทอง หน้า หงอน เหนียง ติ่งหู สีแดงสดใบหงอน มีเม็ดทราย ตาสีเหลือง ขนสีทองสดใสสม่ำเสมอทั้งตัว ขนแซมสีดำ
                 สีลายดอกหมาก หน้า หงอน เหนียง ติ่งหูสีแดงสดใบหงอนมีเม็ดทราย ตาสีแดงหรือสีส้มปนแดง จงอยปากสีเหลือง ลำตัวสีดำ ขนส่วนใหญ่สีดำ สีขนหัว สร้อยคอและขนระย้าสีดำ ขลิบตัวสีขาวปนสีน้ำเงินสว่างชัดเจน ขนอกสีดำขอบเงิน เป็นลายข้าวหลามตัดคมชัด หางสีดำ ปีกสีดำ แก้มสีเหลือง
                สีกระดำหรือสีลายข้าตอก หน้า หงอน เหนียงสีแดงสด ตาสีแดงหรือสีส้มแดง จงอยปากสีขาวหรือสีเหลือง เส้นขนทั้งตัวทุกเส้นสีดำ แต่ปลายขนมีจุดสีขาว
               สีกระทอง หน้า   หน้า หงอน เหนียง ติ่งหูสีแดงสด ใบหงอนมีเม็ดทรายสีแดง ตาสีแดง หรือส้ม จงอยปากสีเหลือง
               สีลายสีบาร์ หน้า หงอน เหนียง ติ่งหูสีแดงสด ใบหงอนมีเม็ดทรายสีแดงสด ตาสีแดงหรือส้มปนแดง จงอยปากสีเหลืองหรืออมดำ สีขนเป็นสีลายระห่างเทาเงินกับเทาเข้มทั้งตัวและไม่มีสีอื่นปะปน
              สีเทาหรือสีเทาพิราบ หน้า หงอน เหนียง ติ่งหูสีแดงสด ใบหงอนมีเม็ดทรายสีแดงสด ตาสีแดงจัดหรือส้มปนแดง ปีกสีน้ำตาลเข้ม จงอยปากสีดำหินชนวนหรือเทาเข้ม ขนทั่วตัวเป็นสีเทา
             สีลายสามสี หน้า หงอน เหนียง เป็นสีแดง ใบหงอนมีเม็ดทรายตาสีแดง จงอยปากสีขาวอมเหลือง ขนบริเวณหัว คอ ไหล่ ขนปีกด้านนอก ระย้าอกและท้องมีสีน้ำตาลและมีเส้นดำ


3.ธรรมชาติและการเลี้ยงดูไก่แจ้
3.1 ธรรมชาติของไก่แจ้
       ด้านสายพันธุ์ ไก่แจ้พันธุ์ไทยมีมานานแล้ว โดยมากจะพบเลี้ยงในวัดอาจมีสาเหตุคือ ไก่ในวัดถูกเลี้ยงแบบธรรมชาติไม่มีการจัดการวางแผนการเลี้ยงดูการผสมพันธุ์ จึงเกิดการผสมเลือดชิด จนได้ไก่แจ้ขึ้น ในอดีตคนที่เลี้ยงไก่โดยทั่วไปยังไม่มีการเข้าใจในการเลี้ยง ในเวลาต่อมาเมื่อมีการนิยมเลี้ยงไก่แจ้มากขึ้นจึงมีการคัดเลือกสายพันธุ์พัฒนาให้เตี้ยลง มีขน และสัดส่วนของร่างกายให้น่ารักสวยงามตามความต้องการ จนกระทั่งได้จัดมาตรฐานพันธุ์ไก่แจ้ขึ้น
      ด้านกายวิภาค โครงสร้างของกระดูกไก่ถูกออกมาเพื่อให้หลบหนีได้เร็วไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง หรือบิน ดังนั้นกระดูกไก่จะต้องเบาและแข็งแรง มีจำนวนกระดูกน้อยชิ้น ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อถูกออกแบบให้สอดคล้องกับระบบของโครงกระดูก โดยมีกล้ามเนื้อหน้าอก  เพี่อช่วยในการบิน กล้ามเนื้อส่วนขาเฉพาะส่วนน่องมีเอ็น และกล้ามเนื้อขนาดใหญ่  เพื่อให้นอนบนต้นไม้ได้  ขนมีไว้เพื่อควบคุมอุณหภูมิ


      ด้านการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม ระบบการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย  เพราะมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของไก่เป็นอย่างมาก  กล่าวคือ ลูกไก่ต้องการอุณหภูมิสูง สำคัญอีกข้อหนึ่ง คือ การถ่ายเทอากาศจะต้องดี และจะต้องไม่มีความชื้นสูง จะทำให้ไก่เป็นโรคง่าย
    ด้านความต้องการอาหาร ไก่แจ้ต้องการสารอาหารต่างๆ  ตามพัฒนาการของร่างกาย  การออกไข่จะขึ้นกับความยาวของแสงมากว่าอุณหภูมิ
    ด้านระบบภูมิคุ้มกัน  ลูกไก่แรกเกิดจะต้องมีภูมิคุ้มกันดีหรือไม่  จะขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันที่ได้จากแม่ ตลอดจนสุขภาพของไก่เอง


 3.2 การดูแลไก่แจ้
  การดูแลไก่เล็กอายุ 0 - 9 สัปดาห์  ลูกไก่ต้องการอุณหภูมิที่อบอุ่น  ขณะที่ร่างกายปรับเข้าสู่สิ่งแวดล้อมได้ต่ำ  ควรดูแลอย่างใกล้ชิด  อย่างไรก็ตามตั้งแต่อายุ 1 สัปดาห์เป็นต้นไปควรลดอุณหภูมิลงเรื่อยๆ อย่าให้อุณหภูมิกลางวันกลางคืนต่างกัน  อาหารต้องมีคุณภาพดี
การดูแลไก่ระยะรุ่น อายุ 6 – 19 สัปดาห์  ซึ่งมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าไก่ระยะอื่นๆ และปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี  ดังนั้นคุณภาพอาหารจะลดลง
    การดูแลไก่ใหญ่ อายุมากกว่า 24 สัปดาห์  ซึ่งการเจริญเติบโตจะหยุดแล้ว  แต่ระบบสืบพันธุ์ยังคงพัฒนา เพื่อการสืบพันธุ์ ไก่จะมีพฤติกรรมดูแลตัวเองมากขึ้น คุณภาพอาหารจะลดลงอีก


4.อาหารของไก่แจ้
     ในการเลี้ยงไก่ อาหารนับเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรก  อาหารที่ให้ต้องมีความเหมาะสม และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายของไก่  ต้องได้รับอาหารที่เพียงพอ  ซึ่งทั่วๆไปไก่สามารถแบ่งได้ 6 ประเภทคือ
4.1อาหารคาร์โบไฮเดรต เป็นอาหารส่วนใหญ่จะให้พลังงานสำหรับการดำรงชีวิต พบมากในเมล็ดธัญพืชต่างๆ
4.2 อาหารไขมัน เป็นอาหารให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรต 2 เท่า แต่แหล่งใหญ่ของไขมัน ได้แก่ มันหมู  มันวัว หรือน้ำมันพืช


4.3 อาหารโปรตีน เป็นอาหารช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อ  ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย  และช่วยในการสร้างซ่อมแซมส่วนต่างของร่างกาย  แหล่งโปรตีนมีทั้งจากพืชและสัตว์  เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง เมล็ดฝ้าย ปลา  และเนื้อสัตว์ต่างๆ
4.4 อาหารวิตามิน เป็นสิ่งมีชีวิตที่สิ่งมีชีวิตต้องการ เพื่อทำหน้าที่หลายอย่าง  ในกระบวนการต่างๆในร่างกาย ตัวอย่างอาหารโปรตีนที่ใช้กันในอาหารสัตว์ทั่วๆไป  เช่น นำไปสร้างการเจริญเติบโต  หรือนำไปชดเชยแร่ธาตุที่สูญเสีย
4.5 อาหารแร่ธาตุต่างๆ สัตว์ปีกทุกชนิดมีการต้องแร่ธาตุตลอดเวลา  เพื่อนำไปสร้างกระดูกในสร้างในวัยเจริญเติบโต   นำไปชดเชยแร่ธาตุที่สูญเสียในการขับถ่าย   หรือการออกไข่ แหล่งของแร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ กระดูกบน  เปลือกหอย
4.6 น้ำสะอาดนับเป็นอาหารที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง  เพราะไก่จะขาดน้ำไม่ได้  หากขาดน้ำจะทำให้ไก่ไม่กินอาหาร ในร่างกายของไก่  มีน้ำ 60 - 80%   และผู้เลี้ยงต้องให้น้ำที่สะอาด   ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของไก่ด้วย ภาชนะที่ใส่ต้องล้างทุกวัน และใส่น้ำสะอาดทิ้งไว้กินทุกวัน


5. โรคและการป้องกันรักษา
       เรื่องโรคนับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง   ของการเลี้ยงไก่แจ้สวยงาม  เนื่องจากว่าที่เพาะเลี้ยงสามรถทำได้ยาก  ควรปรึกษาสัตว์แพทย์ตามคลินิกสัตว์   หรือปรึกษาแพทย์ทางด้านสัตว์ปีกที่กรมปศุสัตว์ก็ได้  ซึ่งโรคไก่แจ้ทั่วๆไป  มีดังนี้
  5.1 โรคนิวคาสเซิส เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส  การระบาดของโรคมีความรุนแรงแตกต่างกัน ถ้าเชื้อรุนแรงมากจะตายหมด  ภายใน 3 – 4 วัน อาการจะเป็นโรคทางระบบหายใจ   มีอาการไอจาม สะบัดหัว หรือมีน้ำมูก หลังจาก 2 – 3 วัน   ก็จะมีอาการทางประสาทคือ ตัวสั่นบ้างครั้งพบคอบิดเบี้ยว การป้องกันควรทำวัคซีนให้ไก่ตามเวลา 1 - 3วัน  ทำวัคซีนนิวคลาสเตรน เอฟ ชนิดหยอด
     ชนิด ทุกขนาด   และทุกช่วงอายุของไก่   สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสติดต่อทางอากาศ  แล้วเข้าในระบบหายใจของไก่    โรคนี้มีอัตราการตายได้ประมาณ 60-70% สำหรับไก่ที่ไม่ตายจะเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาหายยาก อาการของโรคมีน้ำมูก ตาแฉะ ซึ่งอาการสังเกตยากในตอนแรก ก ารป้องกันทำวัคซีนป้องกันโรคหลอดลมอักเสบติดต่อกับลูกไก่ เมื่ออายุประมาณ 14 วัน หลังจากนั้นควรทำทุกๆ 6 เดือน
5.3 โรคฝีดาษไก่ เกิดจากเชื้อไวรัสมียุงเป็นพาหนะ  นำโรคฝีดาษ โรคนี้มี 2 ชนิด  ฝีดาษชนิดแห้งหรือฝีดาษผิวหนังจะเกิดขึ้นตามบริเวณที่ไม่มีขน  ถ้าเป็นแล้วจะหายเอง  ฝีดาษเปียก หรือฝีดาษในลำคอ จะเกิดที่ปาก ลำคอ เปลือกตา    ฝีดาษชนิดนี้จะรุนแรงมาก การป้องกัน ทำวัคซีนป้องกันฝีดาษ   เมื่อไก่อายุประมาณ7 วัน จากนั้นเมื่อไก่หาย  ควรทำติดต่อกันทุกๆปี


5.4 โรคอหิวาไก่ เป็นโรคระบาดอย่างรวดเร็ว สาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย   อาการชนิดเฉียบพลัน ไก่จะตายอย่างรวดเร็ว  โดยไม่ทันสังเกตเห็นอาการภายนอกได้เลย  นอกจากการผ่าตรวจซากดูความพิการภายในเท่านั้น ชนิดร้ายแรงจะพบมาในไก่อายุน้อย  มีอาการซึม  ตัวสัน  คอตก  มีไข้สูง  ไม่กินอาหาร  แสดงอาการเจ็บปวดเมื่อย  เมื่อขยับปีก หายใจลำบาก และตายใน 2-3 วัน การป้องกันควรให้วัคซีนป้องกันโรค  เมื่ออายุ 3-4 เดือน ต้องทำบ่อยๆ การรักษาที่ใช้กันมาก ได้แก่ การใช้ยาพวกซัลฟาต่างๆ  ละลายน้ำให้กินตามฉลาก
5.5 โรคไทฟอยด์ในไก่ เป็นโรคระบาดกับไก่ทุกขนาด และสามารถระบาดไปทางไข่ฟักได้ด้วย แต่ส่วนใหญ่จะพบในไก่ใหญ่.หรือไก่กำลังไข่เท่านั้น..อัตราการตายไม่แน่นอน..จะขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของเชื้อ สาเหตุมากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง  อาการกระวนกระวาย ยืนซึมคอตก มีไข้สูงและมักอ่อนเพลียการป้องกัน ควรให้สัตวแพทย์ตรวจสอบเชื้อ..แล้วคัดเอาไก่ที่ติดเชื้อออกไป.   .การรักษาโรคควรใช้ยาจำพวกยาซัลฟาต่างๆและยาปฏิชีวนะ ซึ่งจะรักษาโรคนี้ได้ชั่วคราว โรคนี้จะหายไปเอง แต่ต้องดูแลไก่ให้ดี และใช้ระยะเวลาในการรักษา

อ้างอิง
ธนากร   ฤทธิ์ไธสร. (2545). สายพันธุ์และการเพาะเลี้ยงไก้แจ้.  พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : ซี.อาร์.เอส.ยูนิเวอร์แซล.
อุดม  รักแซ่ม. (2555). การเลี้ยงไก่. กรุงเทพมหานคร : อักษรวัฒนา.
จองขวัญ  สุวรรณรักษ์. (2547). สัตว์น่ารู้. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร : พัฒนาเจริญการ
กลุ่มอนุรักษ์ไก้แจ้ไทย. (2554 . 25 กันยายน). สีมาตรฐานของไก้แจ้. เข้าถึงได้จาก : http://www.dld.go.th.co(วันที่ค้นข้อมูล 3 พฤศจิกายน 2556).
สุรพล   เศรษฐศร. (2549. 10 ธันวาคม ). ความเป็นมาของไก่แจ้.  เข้าถึงได้จาก : http://www.mytontam.com.(วันที่ค้นข้อมูล 6 พฤศจิกายน 2556).

สมเกียรติ  นราการ. (2550. 3 มกราคม). การเลี้ยงไก่. เข้าถึงได้จาก : http://www.bantamthai.go.th.  (วันที่ค้น กกกกกกกข้อมูล 15 พฤศจิกายน 2556 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น